นายอาคม เติมพิทยาไพสิฐ รมว.คลัง เปิดเผยว่า กระทรวงการคลังจะเริ่มจัดเก็บภาษีจากการขายหุ้นภายในปีนี้ หลังจากที่ผ่านมามีการยกเว้นมากตลอด 30 ปี เนื่องจากมองว่าขณะนี้เป็นช่วงเวลาที่เหมาะสม เพราะตลาดหุ้นไทยมีความเข้มแข็งและเติบโตมาอย่างต่อเนื่อง โดยไม่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์ที่เกิดขึ้นจากในประเทศ ซึ่งประเมินว่าการเก็บภาษีจากการขายหุ้นจะทำให้มีรายได้เข้ารัฐอีกหลักหมื่นล้านบาทต่อปีคำพูดจาก สล็อตเว็บตรง
“ภายในปีปฏิทินนี้จะเห็นการเก็บภาษีการขายหุ้น ซึ่งไม่ใช่เป็นภาษีใหม่ แต่เป็นภาษีที่ประเทศไทยมีมานานแล้ว แต่มีการยกเว้นการเก็บมาตลอด เพื่อสนับสนุนการระดมทุนในตลาดหลักทรัพย์ แต่ในตอนนี้ตลาดหุ้นโตขึ้นแล้ว ขณะที่ภาครัฐยังแบกรับภาระอยู่ ซึ่งก็ต้องมีการพิจารณา เพราะการช่วยเหลือต้องมีระยะเวลาที่แน่นอน เหมือนตอนที่เราส่งเสริมอุตสาหกรรมรถยนต์ เมื่อถึงเวลาที่อุตสาหกรรมเข้มแข็ง ก็ต้องกลับมาเสียภาษีเงินได้นิติบุคคล”
นายอาคม กล่าวว่า ที่ผ่านมากระทรวงการคลังได้พูดคุยทำความเข้าใจกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องมาโดยตลอด ทั้งตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ รวมถึงสภาธุรกิจตลาดทุนไทย เนื่องจากเป็นภาษีเดิม ไม่ใช่ภาษีตัวใหม่ ซึ่งขณะนี้ก็เข้าใจตรงกันแล้ว อย่างไรก็ดีก่อนที่จะเริ่มเก็บภาษีจริง กระทรวงการคลังจะแจ้งให้นักลงทุนทราบเป็นการล่วงหน้า รวมถึงจะต้องเสนอเข้าที่ประชุม ครม.เพื่อขออนุมัติออกเป็นกฎกระทรวงต่อไป
สำหรับแนวทางการจัดเก็บภาษีหุ้น คลังจะเลือกเก็บภาษีจากการขายหุ้นอย่างเดียวในอัตรา 0.1% โดยไม่ได้มีการเก็บจากส่วนต่างกำไร แคปปิตอล เกน เหมือนกับประเทศอื่นๆ เพราะหากเก็บแคปปิตอล เกนด้วยจะเป็นภาระที่หนักกว่านี้ สำหรับแนวทางการจัดเก็บจะยึดตามหลักการเดิม โดยให้โบรกเกอร์จัดเก็บจากยอดขายเป็นรายเดือน และส่งยอดมาให้กรมสรรพากร
“หลักการเก็บภาษีจะยึดหลักความเท่าเทียม ไม่ว่ารายใหญ่รายเล็กจะมีการเก็บทั้งหมด เพราะถ้าแยกจะยุ่งยาก เช่น ถ้าเราบอกว่า ถ้ายอดขายหุ้น 1 ล้านบาท เราจะเก็บในอัตราต่ำกว่าคนที่มียอดขายสูงกว่า 1 ล้านก็ยุ่งยาก ซึ่งในกฎหมายที่ออกมาจะเก็บแบบเท่าเทียมกัน คือเก็บจากภาษีการขาย ไม่แยกว่าจะเป็นรายเล็กหรือรายน้อย ซึ่งเป็นวิธีที่ง่ายสุด คือ เก็บเท่ากัน โดยประเทศต่างๆก็มีการเก็บแบบนี้ ไม่ต้องแยกแยะมูลค่าของการขาย”คำพูดจาก สล็อตเว็บตรง
สำหรับทิศทางการจัดเก็บรายได้ในปีงบประมาณ 65 นั้น มองว่าไม่น่าจะมีปัญหา โดยกระทรวงการคลังได้เพิ่มเป้าหมายการนำส่งรายได้ของรัฐวิสาหกิจเพิ่มอีก 5% ขณะเดียวกัน คลังก็ได้จัดเก็บภาษีมูลค่าเพิ่มธุรกิจอีเซอร์วิสจากแพลตฟอร์มต่างประเทศด้วย ซึ่งมีรายได้เกินเป้าหมายเป็นพันล้านบาท ส่วนการจัดเก็บภาษีตัวใหม่ กระทรวงการคลังยังไม่มีแผนจัดเก็บเพิ่มเติมในช่วงนี้ เช่น ภาษีความเค็ม หรือภาษีโซเดียม ทางกรมสรรพสามิตอยู่ระหว่างการศึกษา และหารือกับกระทรวงสาธารณสุขอยู่ ขณะที่ ภาษีบาป เช่น เหล้า เบียร์ ก็ยังไม่มีนโยบายจัดเก็บช่วงนี้แต่อย่างใด